ไก่งามเพราะขน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เขาดูกันแต่เรื่องภายนอก ไก่งามเพราะขน ขนมันสวย พอขนมันสวยมันก็ชั่วคราว ของมันสมมุติขึ้นมา ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง แต่ศีลธรรมไม่ว่าอย่างนั้นเลย ศีลหอมทวนลม กลิ่นของศีลหอมไปทวนลม กลิ่นของศีลพาไป นั่นน่ะกลิ่นของศีล การงดเว้น การระงับ นี่เป็นศีล ศีลคือการดัดตนไง การดัดตนให้เป็นคนดี ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งนี่ มันเกิดมา เราเกิดมา คนงามเกิดมานี่มันมีอำนาจวาสนา มันถือศีล ๕ ไง เพราะรูปสวยตัวงามนั้นเพราะถือศีลมา เขามีบุญกุศลของเขามา
ถึงทำมาแล้ว เกิดแล้วนี่ ทำความดีไม่ทำความดีอย่างหนึ่ง เกิดมาบุญกุศลพาเกิดนั่นอย่างหนึ่ง เกิดมาแล้วสิ่งที่ให้เป็นบุญกุศล สิ่งที่เกิดมาแล้วนี่ให้มันสืบต่อไป นี่สิ่งที่ทำความดีอยู่ ความดีที่ดีขึ้นนี่มันยังมีอยู่ สิ่งนี้มีอยู่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าเรามองไม่ออก เพราะเรามองกันไม่ออก เราไม่เข้าใจเรื่องสิ่งนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เราถือเอาสิ่งนั้นเป็นความคาดหมายของใจมาคิดไง
สิ่งที่คาดหมาย เห็นไหม ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง การประพฤติปฏิบัติธรรมก็ต้องมีสิ่งที่ได้มา สิ่งที่ได้มาเพราะจินตนาการได้มา สิ่งที่สะสมมา เห็นไหม การสะสมมามันถึงไม่เป็นความจริง มันเป็นการคาดการเดา การคาดการหมายของใจ ใจมันคาดมันหมายของมันไป มันคิดของมันไปตามความเห็นของมันไป
นั่นน่ะเราศรัทธาความเชื่อ มันก็เหมือนไก่งามเพราะขน เรามีความเชื่อขึ้นมานี่ ความเชื่อของเรา ความศรัทธาของเรา เกิดขึ้นมาของเรา แล้วเราจะรักษาศรัทธาของเราได้อย่างไร แล้วศรัทธาตัวนี้มันศรัทธา เห็นไหม มันคลอนแคลนไป มันไม่แน่นอนไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป สรรพสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งหมด โลกนี้สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง
แต่สิ่งที่เป็นอนิจจัง เรามองแต่สิ่งข้างนอกเป็นอนิจจัง แต่เราไม่เห็นความคิดของเราที่เป็นอนิจจังเลย ตั้งแต่เด็กมานี่มันแปรปรวนไปตลอด ความคิดเราจะแปรปรวนไปตลอด มันมีข้อมูลต่าง ๆ สะสมขึ้นมา มันจะปล่อยวางข้อมูลเก่า ๆ ไป ความคิดเราจะพัฒนาขึ้นไป พัฒนาขึ้นไปนะ ถ้ามีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมขึ้นไปมันไม่พัฒนาขึ้นไป มันไปตามความพอใจของตัว ความพอใจของใจตัวเอง เห็นไหม กิเลสอยู่ในหัวใจตัวนั้นน่ะ ตัวสิ่งนี้มันเป็นตัวที่ว่าเราจะกำจัดมัน
สิ่งนี้สิ่งที่พาเกิด จริตนิสัยเป็นจริตนิสัย แต่กิเลสเป็นกิเลสอีกอย่างหนึ่ง จริตนิสัยคือสันดาน เห็นไหม พระอรหันต์ทำให้สิ้นกิเลสไปยังแก้สันดานไม่ได้ สันดานคือความเคยของใจ ใจมันเคยมาขนาดไหนนี่มันเป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยนี่ พระอรหันต์ต่าง ๆ ถึงไม่เหมือนกัน จริตนิสัยไม่เหมือนกัน การจะเทศนาว่าการก็ไม่เหมือนกัน การอบรมสั่งสอนก็ไม่เหมือนกัน ความชอบก็ไม่เหมือนกัน การกำจัดกิเลสก็ไม่เหมือนกัน
ความกำจัดกิเลส เห็นไหม กิเลสมันจะออกไปจากใจนี่เราต้องกำจัดกิเลสออกไปจากใจ ถึงว่ามันไม่ใช่การสะสม มันไม่ใช่การได้มา การสละออกไป การชะล้างออกไปมันถึงจะเป็นการได้ การได้คือการสละออก การสละออกสละออกอย่างไร สละออกสิ่งที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยพบ เห็นไหม ความว่างของใจนี่ว่าเป็นความว่าง ๆ
มีคนพูดมากว่า จิตเป็นสมาธิ ๆ สมาธิของเขา สมาธิความคิดของตัวเองไง มันไม่ใช่สมาธิความเป็นจริง สมาธิความเป็นจริงนี่มันจะต่างจากโลกนี้มาก มันจะว่างมันจะเวิ้งว้างขนาดไหนมันก็เป็นสมาธิ สมาธินี้น้ำเต็มแก้ว เห็นไหม ความสงบของใจนี่รักษาได้ ความสงบของใจมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน เวลาเราคิดขึ้นมา เวลาเราฟุ้งซ่านขึ้นมานี่ มันถึงจุดหนึ่งมันต้องสงบไป ความฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเราตลอดไป ความสงบก็ไม่อยู่กับเราตลอดไป สิ่งใด ๆ ในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย
สิ่งใด ๆ เป็นอนิจจัง สิ่งนั้นถึงพึ่งไม่ได้ไง สิ่งนี้พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งได้เป็นอกุปปธรรม เห็นไหม อกุปปธรรมคือธรรมที่ไม่แปรสภาพ ไม่แปรปรวน สิ่งที่ไม่แปรปรวนอยู่ในหัวใจของเรานี่ แต่ในหัวใจมีกิเลสตัวนี้มันถึงทำให้ใจนี้แปรปรวน สิ่งที่แปรปรวนอยู่นี้เพราะว่ากิเลสมันขับไส มันขับไสให้แปรปรวนไป แล้วความแปรปรวนอันนี้เราก็คาดหมายคาดเดาออกมา ถึงว่าพอคาดหมายคาดเดาออกมาการปฏิบัติธรรมมันถึงเป็นการด้นเดาไง เป็นการด้นเดา เป็นการคาดหมาย เป็นการกว้านมา เห็นไหม ไก่งามเพราะขนก็โปะเข้าไปสิ ขนโปะเข้าไป
อันนี้ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติ เราจะได้สิ่งนั้น ๆ นี่มันเอาโลกมาคาดธรรมไง ถ้าเอาโลกมาคาดธรรมมันจะไม่ได้สิ่งใดเลย เราจะทำไปโดยที่ว่าอยากในเหตุ อยากในความเพียรไง อยากในเหตุแล้วกระทำไป แต่ไม่อยากในผล ถ้าอยากในผลนั้นเป็นตัณหาซ้อนตัณหา สมุทัยซ้อนสมุทัย ถ้าสมุทัยซ้อนสมุทัยแล้วนี่มันเป็นกำลังสองของกิเลสที่ทำให้เราไม่รู้เรื่องเลย
แล้วมันก็ขับไส เห็นไหม มันขับไสแล้วมันทำให้เราก้าวเดินตามความเห็นของมันไป มันจะเดินตามความเห็นของมัน ความเห็นของกิเลส ความคาดหมายของใจนั่นน่ะ กิเลสไม่มีเหตุผล มันจินตนาการได้หมด จินตนาการทำอะไรก็ได้ จินตนาการขึ้นมา แล้วจะสมเป้าหมายไม่สมเป้าหมายนั้นมันเป็นอธิษฐานบารมีได้อย่างหนึ่ง แต่อธิษฐานบารมีนั้นเป็นบารมี ๑๐ ทัศขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม
แต่ธรรมนี้มันมีอยู่แล้วไง เราจะคาดหมายธรรมนี่ เราจะคาดหมายว่า เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรม...ธรรมไม่มีอยู่เลยแล้วเราคาดหมายไป อันนั้นคาดหมายสิ่งที่ไม่มี แต่ธรรมมันมีอยู่ เห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว สิ่งที่มีอยู่แล้วนี่เราเพียงแต่ชุบมือเปิบ เรามานี่เราก็ชุบมือแล้วก็เปิบเข้าปาก แต่เราก็เปิบเข้าไปไม่ได้ เราไม่สามารถเปิบสิ่งที่มีอยู่เข้าปากของเราได้เลย เพราะอะไร? เพราะกิเลสตัวนี้ เพราะความไม่เห็นจริงของเราตัวนี้ ความกิเลสของเรานี่มันคาดหมาย มันเดาไป เห็นไหม สิ่งที่มีอยู่มันก็เดาให้มันผิดพลาดไป
เหมือนกับหมอ หมอที่ว่ารักษาโรคอยู่ เห็นไหม หมอรักษาโรคอยู่ หมอไม่ควรน่าจะเป็นเจ็บไข้ได้ป่วย หมอก็เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน แล้วถ้าหมอไม่รักษาตัวเอง หมอเจ็บไข้ได้ป่วยหมอก็ต้องให้หมอรักษา เห็นไหม รักษาตัวเองไม่ได้ ไม่เข้าใจในตัวเองหรือว่าผ่าตัดตัวเองก็ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นรักษาให้
แต่จิตไม่เป็นอย่างนั้น จิตปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ใจดวงใดดวงนั้นต้องเป็นผู้ชำระล้างใจดวงนั้นเอง กิเลสอยู่ในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องชำระใจดวงนั้น มันแปลกประหลาด มันกลับกัน มันทวนกระแสโลกทั้งหมด โลกหมุนไปตามกระแส กระแสของโลกเป็นไปตามกระแสแล้วหมุนเวียนไปตามโลก แล้วเราก็คาดหมาย
หวังไง หวังสิ่งนั้นเป็นที่พึ่ง หวังสิ่งใดเป็นที่พึ่ง นั่นน่ะไก่งามเพราะขน หวังแล้วไม่สมหวัง ขนไม่ใช่ตัว ขนกินไม่ได้ ขนนั้นเป็นแค่ประดับความงามเพื่อหลอกตาเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้วคือตัวของไก่นั้น เห็นไหม ตัวของไก่นั้นเป็นอาหารเราได้ เป็นสิ่งที่เอามาเป็นเนื้ออาหารได้ แต่ในไก่นั้นมันก็มีกระดูก กระดูกนั้นกินไม่ได้ กระดูกนั้นทำให้เราตาย
ในความคิดความเห็นของเราก็เหมือนกัน เวลาเราขึ้นมานี่ ความศรัทธามันก็เหมือนกับขนของมันขึ้นมา ตัวศรัทธานี้มันเกิดขึ้นมาจากใจ แต่ไม่ใช่ใจ สติปัญญานี้เกิดขึ้นมาจากใจ แล้วไม่ใช่ใจเลย ส่วนนี้เป็นสมมุติทั้งหมด สิ่งที่เป็นสมมุตินี่ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา สิ่งที่เป็นสมมุติขึ้นมา เราขับไสขึ้นไปมันก็จะเป็นสิ่งที่ว่ามันเกิดขึ้นมา สิ่งที่เป็นสมมุติมันทำลายสิ่งที่เป็นสมมุติเข้าไป มันสัมปยุตกันเข้าไป แล้วมันวิปปยุตออกมา คลายตัวออกมา ส่วนนี้คลายตัวออกมา จิตตัวนั้นหลุดพ้นออกไป จิตเท่านั้นถึงจะต้องรักษาตัวเอง
เห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม หอมเพราะว่ามันเป็นไป เพราะว่าคุณงามความดีที่เราประพฤติ ทำคุณงามความดี ศีลนั้นไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนคนอื่น ทำให้เรานี่สดชื่นผ่องใส อาจหาญรื่นเริงกล้าเข้าในสังคมใดก็เข้าได้เพราะศีลบริสุทธิ์ ศีลเราบริสุทธิ์ไม่มีความด่างพร้อยของใจเลย จะเข้าสังคมไหนก็เข้าได้โดยบริสุทธิ์ ร่างกายก็แจ่มใสเพราะอะไร? เพราะมันทำความดี มันให้คุณประโยชน์แก่พอสมควร เห็นไหม การไม่กินมากจนอืดเป็นเรือเกลืออย่างนี้มันก็เป็นเรื่องของศีล แต่โลกมองว่าเรื่องของศีลนี้เป็นเรื่องของความทุกข์ยาก เรื่องความลำบาก
นี่ศีลดัดแปลงตนให้เป็นคนดี แต่โลกไม่เห็นคุณงามความดีของศีลหรอก สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลทำให้ปกติ เป็นความสุข ความปกติของใจนี่ มันฟุ้งซ่านไปมันก็กลับมาความปกติ ความปกติของใจเท่านั้นมันถึงจะเป็นสิ่งที่ว่าอธิศีล ศีลในความปกติของใจ ใจข้างในจะเป็นปกติ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลแล้วถึงจะมีสมาธิ สมาธิเกิดความตั้งมั่นของใจ ความตั้งมั่นของใจบ่อยครั้งเข้า ตรงนี้สำคัญ สำคัญตรงที่ยกขึ้นวิปัสสนา
พอจิตตั้งมั่นเข้าปัญญาเกิดขึ้น ทุกคนจะบอกเลยว่า จิตสงบแล้วใช้ปัญญาแล้ว มันมีความถูกต้อง จิตเราสงบขึ้นมา เราก็ใช้ปัญญาหมุนไป ปัญญานั้นไม่ถูกต้องเหรอ? ปัญญานั้นเป็นปัญญาโลกียะ เห็นไหม งานไม่ชอบ งานไม่ชอบเพราะอะไร? เพราะมันทำความสงบของใจขึ้นมา มันพยายามไตร่ตรองใจ มันจะปลดเปลื้อง ปลดปมของใจ ความคิดของใจที่ติดในปมไหนนี่ มันจะปลดปมนั้นเข้ามา ๆ ปลดปมเข้ามานี่มันเป็นอะไร? มันเป็นสมถะใช่ไหม มันอยู่ในโลกียะไหม?
มันอยู่ในเราไง มันอยู่ในเริ่มต้นของเรา มันอยู่ในโลกียะ มันเป็นโลกียะ ปัญญาอันนี้มันเป็นปัญญาในวงของสมมุติทั้งหมด มันไม่เป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันต้องยกขึ้นวิปัสสนา ในสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรมนั้นมันก็อยู่ที่เรา เราจะสามารถยกขึ้นมาได้ ถ้าเราสามารถยกขึ้นมาได้นี่มันถึงจะเป็นปัญญาของเรา มันถึงว่าปัจจัตตัง ใจดวงนั้นต้องแก้ใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมันสำคัญตรงนี้ มันก้าวเดินไม่ได้เหมือนกับสิ่งของ เหมือนกับยานพาหนะที่มันขับเคลื่อนออกไป
ใจก็เหมือนกัน ถ้ามันขับเคลื่อนออกไปนี่ ความพะรุงพะรังของใจมันจะตัดทอนออกไป ตัดทอนความพะรุงพะรังของใจ ใจเราที่เราทำความสงบของใจขึ้นมาแล้วเราชำระกิเลสไม่ได้ มันเป็นกันตรงนี้ ทำไมเราก็รู้สิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นไม่ควรกระทำ ทำไมเราทำไม่ได้ เรายับยั้งใจเราไม่ได้ เรายับยั้งไม่ได้เพราะเราไม่ได้แก้มันที่ตรงต้นเหตุของมัน เราไปแก้ที่ปลายเหตุไง ไปแก้ที่อารมณ์ ความรู้สึกยับยั้งกันที่อารมณ์ แต่เราไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุ ต้นเหตุมันอยู่ตรงหัวใจ เห็นไหม ต้นเหตุมันบอกว่าความดำริ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลย เราจะไม่ดำริถึงเจ้า นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมาร
ความดำริ เห็นไหม กิเลสมันเกิดตรงความดำริ เริ่มต้นความคิด แต่เราไปแก้ที่อารมณ์ความรู้สึก ความคิดนี่มันก็ปรุงเป็นอารมณ์ออกมา แล้วเราก็ไปแก้ที่ปลายเหตุขึ้นมา เราถึงรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนั้นผิดพลาด สิ่งนั้นไม่สมควรกระทำเลย แต่เราไม่สามารถยับยั้งสิ่งนั้นได้ เพราะเราไม่ได้เริ่มต้นชำระสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นไง ความดำริไง
ความดำริมันเกิดขึ้นมาจากใจ เห็นไหม เจตนาเจตสิกนี่ มันจะสะสมเข้าไป เจตนาออกมา เจตนานี่มันก็ดำริออกมาแล้ว เจตนานี่ออกมาจากดำริด้วย มันก็พุ่งออกมาเป็นอารมณ์ เราไปแก้กันที่ปลายเหตุ สิ่งที่เป็นปลายเหตุอันนี้มันถึงแก้ความทุกข์ไม่ได้ เราถึงต้องทำความสงบของใจ มันถึงว่าไม่ใช่ไก่งามเพราะขน ถ้าเราคิดว่าไก่งามเพราะขน แล้วเราปฏิบัติกันแบบไก่งามเพราะขน มันจะเป็นลูบคลำอารมณ์ของตัวเองไป
ลูบคลำ เห็นไหม ลูบคลำความเห็น ขนไม่ใช่ไก่ มันยังมีขนไม่ใช่ตัวไก่ ตัวไก่ยังมีกระดูกไก่อีก ยังมีความสกปรกสิ่งโสโครกในไก่ เราจะฆ่าไก่ เราจะกินไก่ เราต้องทำความสะอาดในไก่นั้น ใจก็เหมือนกัน อารมณ์คือขนของมันน่ะ อารมณ์ปกป้องของใจ อารมณ์คือความคิดรู้สึกนี่ ทำความสงบของใจเข้ามามันถึงจะอารมณ์อันนี้ มันจะเข้าถึงความสงบอันนี้
ความสงบอันนี้มันต้องย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับไป ย้อนกลับเข้าไป ให้ใจดวงนี้คือตัวตาธรรมน่ะมันเริ่มมองเห็น เริ่มความเห็น ตาของใจ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นจากภายใน หมอ...เขาผ่าตัดร่างกายของมนุษย์มานี่ เป็นพันคนหมื่นคนขนาดไหน เขาไม่สามารถเห็นกายของเขาเองได้ เพราะอะไร? เพราะอันนั้นมันเป็นกายของคนอื่น มันเป็นกายนอก
กายอันนี้มันเป็นกายที่ว่ามันเกิดขึ้นมาตามอนิจจังขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาตามสภาวธรรม สภาวะกรรมที่มันเกิดขึ้นเป็นมนุษย์นี่ แล้วทุกคนต้องทิ้งร่างกายนี้ไป เราเกิดมาแล้วเราก็ต้องทิ้งร่างกายนี้ไปเหมือนกัน เราต้องทิ้งร่างกายไว้กับโลกนี้ จิตนี้มันต้องเป็นไปตามบุญกุศลของมันที่พาไป หมอเขาเห็นแต่ร่างกายอันนั้น เขาไม่เห็นร่างกายโดยที่ว่าตาของธรรมเขาไม่เห็น เขาเห็นแต่เรื่องของโลกเขา ยิ่งเห็นเข้าไปแล้วมันก็ยิ่งเรื่องของโลก ยิ่งทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงลงไป
แต่ถ้าตาของใจมันเห็นเรื่องของกาย เห็นจากความสงบของใจ เห็นเรื่องของกายนี่ มันจะสยดสยอง มันจะขนพองสยองเกล้า เอ๊าะ! กายมันเป็นอย่างนี้เหรอ.. ความเห็นของใจเป็นอย่างนี้เหรอ.. สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สมมุติ มันเป็นสิ่งที่อาศัยชั่วคราว สิ่งที่อาศัยชั่วคราวเพราะเรามีกายเรามีใจขึ้นมา เราถึงได้ประพฤติปฏิบัติธรรมใช่ไหม เราถึงได้ฟังธรรม เราถึงปฏิบัติขึ้นมาได้ เพราะเรามีกายมีใจใช่ไหม เราถึงจะทำคุณงามความดีได้
เพราะกายกับใจนี้มันเป็นคุณงามความดีส่วนหนึ่ง เป็นคุณงามความดีของวัฏฏะ เป็นคุณงามความดีของโลก แต่มันไม่เป็นคุณงามความดีของวิมุตติหรอก เพราะมันเป็นเศษส่วน มันเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนคือธาตุขันธ์นี่ มันเป็นเศษส่วนของพระอรหันต์ เห็นไหม พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสไปแล้วก็ต้องทิ้งสิ่งนี้มันไป พระอรหันต์ก็มีกายกับใจเหมือนกัน แต่พระอรหันต์สิ้นสุดจากกิเลสเข้าไป สิ้นสุดจากกิเลสเข้าไปมันก็ทิ้งกายกับใจ
เพราะเราไม่เห็นเราถึงทิ้งไม่ได้ เพราะเราไม่เห็นเราถึงไม่สามารถวิปัสสนาได้ ถ้าเราเห็นขึ้นมานี่ มันถึงว่าเห็นตามความจริง เห็นตัวไก่แล้วเชือดเฉือนกัน ทำลายกัน ชะล้างกัน ชะล้างกันที่ว่ากระดูกไก่กับไก่ เห็นไหม ความสกปรกในตัวของไก่ นี่ชำระสะสางกันไป ถ้ามันทิ้งสิ่งนั้นได้ มันก็ทิ้งเห็นไหม กินแต่เนื้อไก่ ศาสนธรรมคือความสุขของใจ มันมีแต่ความสุขล้วน ๆ ในหัวใจนั้น ในหัวใจนั้นมีความสุขขึ้นมา
นี่ศาสนธรรมสอนอย่างนั้น ถึงไม่ใช่ไก่งามเพราะขน ไก่งามเพราะขนนี่เป็นความสมมุติของโลก การประพฤติปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นปัจจัตตัง มันเป็นใจแก้ใจ มันเป็นกิเลสในหัวใจ สร้างสถานะธรรมความเห็นของใจ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา แล้วชำระกิเลสสิ่งนั้นออกไป มันถึงไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์โลก มันไม่ใช่เรื่องโลกียะ มันเป็นเรื่องโลกุตตระ โลกียะเป็นเรื่องของโลกเขา ที่สร้างโลกขึ้นมา โลกุตตระเท่านั้นที่ทำให้พ้นออกไปจากกิเลสได้
ถ้าพ้นจากกิเลสได้มันพ้นจากวัฏฏะ เห็นไหม ถ้ากิเลสมันไม่ปกครองหัวใจเท่านั้น วัฏวนที่วนไปเพราะกิเลสผู้ให้วนไปจะไม่มีเลย มันมีแต่เศษส่วนร่างกายที่ต้องทิ้งไว้ในวัฏฏะนี้เท่านั้น แต่หัวใจพ้นหมดไป ถึงเป็นความเห็นของธรรมที่จะเกิดขึ้นจากหัวใจ จากหัวใจที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ถึงต้องประพฤติปฏิบัติเอง เอวัง